สวัสดีคะพี่ๆ น้องๆ ชาว EF Magazine ทุกคนวันนี้เราจะมาทำความคุ้นเคยกับการควบคุมมอเตอร์กันนะคะ อย่างที่รู้ๆ กันว่ามอเตอร์ไฟฟ้าคือเครื่องกลไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล โดยมีลักษณะการทำงาน เป็นแบบเชิงมุม หรือลักษณะการหมุนซึ่งหลักการหมุนในมอเตอร์เกิดจากการดูดและผลักกันของขั้วแม่เหล็ก

การควบคุมมอเตอร์ที่นิยมใช้จะมี 2 แบบ คือ แบบวงจรสายเดี่ยวหรือที่เรียกกันว่า
Direct On Line (DOL) และ แบบวงจรสตาร์-เดลต้า (Y-D)
1. แบบวงจรสายเดียว (One Line Diagram)
การสตาร์ทมอเตอร์แบบต่อโดยตรงจากไลน์ หรือ (Direct on-line starting) เป็นวิธีที่ง่าย ราคาถูก ระบบไม่ซับซ้อน ทำให้โอกาสความผิดพลาดในการ
เดินเครื่องจึงมีน้อย แต่โชคไม่ดีนักที่วิธีการสตาร์ทอินดักชั่นมอเตอร์ 3 เฟส
แบบนี้ อาจจะไม่เหมาะกับโหลดบางอย่างของมอเตอร์ เพราะกระแสล็อกโรเตอร์
ของมอเตอร์อาจจะมีค่าเพิ่มขึ้นสูง และแรงบิดสตาร์ทกระชากอาจจะมีค่าถึง
3 เท่าของแรงบิดพิกัด ถ้าหากมอเตอร์มีขนาดใหญ่อาจทำให้แรงดันตก หรือ
แหล่งจ่ายไฟเสียหาย อันเนื่องมาจากกระแส ล็อกโรเตอร์ หรืออาจทำให้เกิด
ปัญหาทำงานผิดพลาดเกี่ยวกับระบบการป้องกันมอเตอร์ทางด้านอุณหภูมิ
เนื่องจากความร้อนสูงเกิน ซึ่งเกิดจากกระแสสตาร์ทที่มีค่าสูง 5-7เท่า

2. แบบวงจรสตาร์-เดลต้า (Star–Delta Diagram)
วิธีการการสตาร์ทอินดักชั่นมอเตอร์ แบบสตาร์-เดลต้า เป็นอีกวิธีที่ง่ายและ
สามารถลดกระแส ขณะสตาร์ทได้ดีขึ้น ซึ่งมอเตอร์ที่จะนำมาสตาร์ทแบบ
สตาร์-เดลต้า ได้ขดลวด สเตเตอร์ จะต้องถูกออกแบบให้ทำงานที่พิกัด
ขดลวดเป็นขดเฟสที่ต่อแบบเดลต้า เช่นมอเตอร์ ชนิด 400 VD/690 VY ในขณะทำการสตาร์ท ขดลวดมอเตอรจะถูกต่อแบบ Y ทำให้ค่าแรงดัน
ตกคร่อมที่ขดลวดลดลงเหลือเพียง 57% เมื่อแรงดันตกคร่อมลดลงส่งผล
ทำให้กระแสสตาร์ทจะลดลง และแรงบิดล็อกโรเตอร์ก็จะลงไปด้วยประมาณ
1 ใน 3 ของค่าที่ต่อแบบเดลต้า หลังจากนั้นเมื่อความเร็วรอบมอเตอร์
เข้าใกล้พิกัด ก็จะต่อกลับกลายเป็นแบบเดลต้า ที่ระบบไฟฟ้า 400 V ดังแสดงในรูป วงจรกำลัง และวงจรควบคุมของวงจร Star – Delta

ในการเลือก Contactor จำเป็นต้องรู้อะไรบ้าง
1. พิกัดแรงดันไฟฟ้า Contactor จะต้องมีค่าพิกัดในการทนแรงดันไฟฟ้าไม่ต่ำกว่าแรงดันของระบบไฟฟ้าที่ต่อใช้งาน
2. พิกัดกำลังไฟฟ้า ค่าพิกัดกำลังไฟฟ้าของมอเตอร์มักระบุเป็นกิโลวัตต์ (kW) หรือแรงม้า (HP) แต่โดยทั่วไปผู้ผลิตมักจะระบุเป็นพิกัดการทน
กระแสไฟฟ้า (A) ซึ่งพิกัด Contactor ต้องไม่น้อยกว่ากระแสโหลดเต็มที่ของมอเตอร์
3. ลักษณะของโหลด ตามมาตรฐาน IEC 60947-4 แบ่งชั้นการใช้งานของ Contactor เป็น 4 ชนิด
AC1: เหมาะสำหรับใช้โหลดที่เป็นความต้านทาน หรือค่าพาวเวอร์แฟคเตอร์มากกว่า 0.95
AC2: เหมาะสำหรับโหลดที่มีกระแสสตาร์ทและช่วงเบรคของมอเตอร์ Slip ring ประมาณ 2.5 เท่าของกระแสปกติ
AC3: เหมาะสำหรับใช้การสตาร์ทและหยุดโหลดที่เป็นมอเตอร์กรงกระรอก ที่ใช้กระแสสตาร์ทประมาณ 5-7 เท่าของกระแสปกติ
AC4: เหมาะสำหรับการสตาร์ท-หยุดมอเตอร์ วงจร jogging และการกลับทางหมุนมอเตอร์แบบกรงกระรอก
4. Breaking Capacity ค่ากระแสที่ Contactor สามารถปลดวงจรได้ โดยไม่ชำรุด
5. Making Capacity ค่ากระแสที่ Contactor สามารถต่อวงจรได้โดยไม่ชำรุด ขณะเริ่มเดินมอเตอร์
เป็นยังไงบ้างคะ หัวข้อในวันนี้ ทำให้พี่ๆ น้องๆ ชาว EF เข้าใจการควบคุมวงจรแต่ละประเภทมากขึ้นไหมเอ่ย? คราวหน้าเราจะมาเรียนรู้เรื่อง
อะไรกันต่อ โปรดติดตามใน EF Magazine ฉบับต่อไปกันนะคะ
หากท่านสนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ คุณสกาวรัตน์ สวัสดิ์วรวงศ์ : 091-556 0518 หรือส่ง E-mail มาที่ [email protected]