จากเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา ในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นเอง นับได้ว่าโดนผลกระทบอย่างมากค่ายรถยนต์ที่โดนผลกระทบโดยตรงเลยได้แก่ Toyota, Honda, Nissan และSubaru เพราะโรงงานอยู่ในบริเวณที่โดนสึนามิ ค่ายที่โชคดีโรงงานไม่ได้รับความเสียหายได้แก่ Isuzu, Mazda, Mitsubishi และ Suzuki
“วิ่งตาม-ไต่เต้า-เติบโต ไปกับปีกระต่ายทอง ในวงการผลิตรถยนต์”
ในปี 2553 อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และในปี 2554 ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อไม่ให้เพื่อนวิศวกรของเราตกเทรนด์ เราจึงขอวิ่งตามกระแสนำข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจในวงการรถยนต์มาให้ทุกท่านได้อ่านกัน
ข่าวแรกของเรามาที่การเปลี่ยนสถานที่การจัดงาน “มอเตอร์โชว์” จากไบเทคไปที่อิมแพคเมืองทองธานีด้วยเหตุผลที่น่าประทับใจคือ ต้องการเพิ่มเนื้อที่จัดงานให้จุใจ ใหญ่โต กว้างขวางกว่าเดิม
และเวลาจัดงาน จากเดิมเปิดให้ประชาชนทั่วไปเพียง 7 วัน ก็ยืดเวลาให้ถึง 12 วัน พร้อมแถมอีกวัน สำหรับผู้สื่อข่าว และ 1 วันเต็มๆ สำหรับแขกระดับVIP โดยจะเริ่มเพลิดเพลินไปกับงานได้ตั้งแต่วันที่ 25 มีค. – 5 เมย. 2554 วันธรรมดา 12.00-22.00 น. และวันหยุดเสาร์อาทิตย์ 11.00-22.00 น. ซึ่งนอกจากรถสปอร์ตสุดหรู กับเหล่าพริตตี้สาวสวยแล้ว ดาวเด่นในงาน เห็นจะหนีไม่พ้น ECO CAR กระแสที่กำลังมาแรง หรือที่เราๆ พูดกันก็คือ รถประหยัดน้ำมันตามคอนเซปต์ “ลดโลกร้อน” นั่นเอง
มาถึงข่าวผู้ผลิตกันบ้าง General Motors (GM) เตรียมกำลังผลิตเร่งคลอดเครื่องยนต์ดีเซลเครื่องแรกจากโรงงานใหม่แกะกล่องในนิคมอุตสาหกรรมปลวกแดง จังหวัดระยอง ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนั้น ฟอร์ดมอเตอร์ (Ford Motors) ก็กำลังเร่งสร้างโรงงานผลิตใหม่เช่นกัน ซูซูกิมอเตอร์ (Suzuki Motors) ไม่น้อยหน้า กับโปรเจคผลิต Eco Car จากโรงงานใหม่ ในปี 2555 ตามด้วย มิตซูบิชิมอเตอร์ (Mitsubishi Motors) ก็เตรียมเทกระเป๋าจ่ายเงิน หนึ่งหมื่นหกพันล้านบาทเพื่อสร้างรถ “Global-Small” ที่จะเริ่มผลิตในปี 2555 เช่นกัน จ่อคิวด้วย นิสสัน (Nissan) ที่ควักเงินไปกว่า ห้าพันล้านบาทเพื่อพัฒนา “Nissan March” ที่เริ่มผลิตตั้งแต่ปีที่แล้วจากโรงงานใกล้ๆ กรุงเทพฯ และในเดือนมีนาคมฮอนด้า (Honda) ก็พร้อมเปิดตัว Eco Car รุ่น “Brio” ซึ่งพี่ใหญ่อย่างโตโยต้ามอเตอร์ (Toyota Motors)ก็ไม่น้อยหน้าแอบซุ่มเพิ่มกำลังการผลิตขึ้น 10% หรือประมาณ 700,000 คัน รองรับให้แก่แฟนๆโตโยต้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2554
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าปีนี้จะเป็นปีกระต่ายทองของผู้ผลิตรถยนต์อย่างแน่นอนประเทศไทยยังคงมีแรงดึงดูดผู้ผลิต
ชาวต่างชาติให้มาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยความทันสมัยในระบบการผลิต ค่าแรงงานที่ต่ำกว่าเพื่อนบ้าน และปัจจัยหลักคือตลาดรถยนต์ภายในประเทศเองที่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็น ตลาดรถปิกอัพที่เป็นรองแค่อเมริกาเพียงประเทศเดียว และ ในปี 2010 (2553) ประเทศไทยก็มียอดขายมากที่สุด ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังสูงที่สุดในรอบ 50 ปี ด้วยยอดขายมากกว่า 800,354 คัน นำอินโดนีเซียที่มียอดขาย 764,088 คัน และมาเลเซียกับยอดขาย 605,156 คัน
อย่างไรก็ตาม ในปีกระต่ายทองนี้ก็คงต้องลุ้นกันอีก ว่าประเทศไทยจะเตรียมรับมือกับผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจในด้านต่างๆ อย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทบทวนการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์, ผลกระทบเรื่องการท่องเที่ยว และที่หนีไม่พ้นเลยคือ อุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นหลักๆ เลยได้แก่กลุ่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า และ
ยานยนต์รวมทั้งความผันผวนของตลาดหุ้นที่ล้วนแล้วมาจากเหตุการณ์สึนามิในประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
[…] […]
Comments are closed.